นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในเดือนกรกฎาคม 2566 ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) รายงานว่าภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกฟื้นตัวจากการระบาดของ COVID-19 ในอัตราที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มขยายตัวลดลงมาที่ 4.6% ในปีนี้ และ 4.9% ในปีหน้า ทั้งนี้ ADB ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยไปที่ 3.5% จากที่เคยประมาณการไว้ที่3.3% ในเดือนเมษายน และหากพิจารณาจากอัตราส่วน Forward PE ของ SET Index ค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้ผู้ลงทุนบุคคลและสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 6 เดือนต่อเนื่อง
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 46,002 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า25.3% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 7 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 56,873 ล้านบาท
ทั้งนี้ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 6 โดยในเดือนกรกฎาคม 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ12,558 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ในส่วนของผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศแม้ว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายลดลงจากช่วงต้นปี แต่จำนวน Active accounts ในช่วงหลัง COVID-19 Pandemic เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนCOVID-19 Pandemic
โดยในนี้มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป(PHG)
ด้าน Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 17.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.3 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 21.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า
สำหรับอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 3.12% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.20%
ขณะที่ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ในเดือนกรกฎาคม 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 474,850 สัญญา ลดลง 22.0% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 546,687 สัญญา ลดลง 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures